ในยุคนี้ค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์ถือเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องวางแผนการใช้เงินอย่างและคุ้มค่ามากที่สุด เพื่อรักษาสภาพคล่องในการใช้จ่ายเงินแต่ละเดือน
1. ค่าผ่อนงวดรถ ถือเป็นค่าใช้จ่ายประจำที่ต้องใช้เงินก้อนโตในการจ่ายค่างวดในแต่ละเดือน จำนวนเงินผ่อนในแต่ละเดือนนั้นจะคิดแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ คือ เงินต้นรวมกับดอกเบี้ยแล้วหารจำนวนเดือนที่จะผ่อน ตัวอย่างเช่น..ถ้าเราต้องการจะซื้อรถคันใหม่ราคา 600,000 บาท มีเงินดาวน์ 300,000 บาท ผ่อน 60 เดือน อัตราดอกเบี้ย 5% ตัวเลขยอดจัดเช่าซื้อคือ 300,000 บาท ผ่อน 60 เดือน เดือนละ 6,250 บาท เป็นต้น ก่อนจะซื้อรถแนะนำให้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแคมเปญและดอกเบี้ยอย่างละเอียด อย่าหลงกลโปรชั่นส่งเสริมการตลาด เพราะสุดท้ายคนที่เสียเปรียบจะกลายเป็นตัวคุณเอง โดยเฉพาะโปรฯ ดาวน์น้อยผ่อนนาน ที่อาจจ่ายน้อยในตอนแรก แต่เมื่อบวกลบคูณหารดีๆ แล้วอาจต้องเจอกับดอกเบี้ยที่บานเบอะจนน่าตกใจ ดังนั้นก่อนซื้อควรดูภาพรวมว่าสุดท้ายเราต้องจ่ายเท่าไหร่ จะผ่อนมากผ่อนน้อยหรือผ่อนยาวต้องดูกันให้ดีๆ

นอกเราจะต้องรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อแล้ว เมื่อซื้อมาแล้วเราก็มีหน้าที่จ่ายค่างวดให้ตรงทุกๆ เดือนเพราะถ้าคุณส่งค่างวดช้าจะต้องเสียค่าปรับ และอาจทำให้เสียเครดิต หรือร้ายแรงจนถึงขั้นถูกยึดรถได้ เราควรมีวินัยในการใช้จ่ายตรงจุดนี้ เตรียมเงินไว้ให้พร้อมก่อนถึงกำหนดส่งค่างวดในทุกๆ เดือนดีที่สุด
2. ค่าประกันภัยรถยนต์ ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจ่ายในทุกๆ ปี เพื่อเป็นตัวช่วยโอนความเสี่ยงเมื่อเกิดอุบัติเหตุไปให้บริษัทประกันภัยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อม มีให้เลือกประกันตั้งแต่ประกันชั้น 3 ราคาเริ่มต้นประมาณพันกว่าบาท ไปจนถึงประกันชั้น 1 ราคาประมาณ 5,xxx – 10,xxx บาท ขึ้นไป (ราคาจาก Roojai.com) ตามประเภท, ขนาดของรถ และรายละเอียดอื่นๆ รวมถึงโปรโมชั่นของแต่ละบริษัทประกัน ถ้ารถใหม่ป้ายแดงปีแรกมักจะมีประกันชั้น 1 แถมมาให้
3. ค่าประกัน พ.ร.บ. ที่เราต้องเสียเป็นประจำทุกปีนั้น ถือเป็นประกันภัยภาคบังคับที่รถทุกคันต้องมีไว้สำหรับคุ้มครองผู้ประสบภัย ที่เราจำเป็นต้องจ่ายในทุกๆ ปี ซึ่งมีความสำคัญและคุ้มค่ามากๆ ในราคาที่แสนถูก แต่ให้ความคุ้มครองกับทุกคนที่ประสบอุบัติเหตุไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด (เฉพาะคนเท่านั้น) ไม่เกี่ยวกับรถที่เสียหาย

4. ค่าต่อภาษีรถยนต์ประจำปี เป็นอีกหนึ่งภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียเป็นประจำทุกปี ซึ่งค่าภาษีของรถแต่ละรุ่นจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของรถ ความจุเครื่องยนต์ ไปจนถึงอายุการใช้งาน เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง การคำนวณภาษีจะขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์ (0.5-1.5 บาท/ซีซี) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน เช่น รถเก๋ง รถกระบะ 4 ประตู รถ SUV รถประเภทนี้คิดภาษี ตามซีซี แบบเป็นสเต็ปขั้น คือ ตั้งแต่ 1 – 600 ซีซี ละ 0.50 สตางค์ จาก 601-1800 ซีซี ละ 1.50 บาท และ 1801 ซีซี ขึ้นไป ซีซีละ 4 บาท ตัวอย่างการคำนวณภาษี รถยนต์ Honda Jazz เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี
- คิด 600 ซีซี แรก ซีซี ละ 0.5 บาท ดังนั้น 600 x 0.5 = 300 บาท
- ตั้งแต่ 601-1500 ซีซี ละ 1.50 บาท ดังนั้นเฉลี่ย(1,500 – 600) = 900 x 1.50 = 1,350 บาท รวมเป็นค่าภาษีทั้งหมด 300 + 1,350 = 1,650 บาท
โดยอัตราค่าภาษี ปีที่ 1 – 5 จะคงที่ ส่วนรถที่อายุการใช้งานเกิน 6 ปี จะลดภาษีลง 10% ไปจนสูงสุดถึง 50% ในปีที่ 10 และจะคงที่ 50% ในปีต่อๆ ไป และรถที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 7 ปี จะต้องจะต้องมีใบรับรองการตรวจสภาพ ตรอ. จึงจะสามารถต่อภาษีได้
5. ค่าบำรุงรักษารถยนต์ เช็กตามระยะทุก 10,000 กม. หรือประมาณ 6-12 เดือน คุณต้องนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการ ค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็จะเป็นพวก ของเหลว เช่น น้ำมันเครื่อง, กรองอากาศ ที่ต้องเปลี่ยนทุกรอบที่เข้าเช็ค นอกจากนี้ยังมีอะไหล่ต่างๆ ที่เสื่อมสภาพและต้องเปลี่ยนตามระยะการใช้งาน เช่น ผ้าเบรก, น้ำมันเบรก, แบตเตอรี่ และอื่นๆ สำหรับรถใหม่ป้ายแดงในระยะ 3 ปี หรือ 100,000 กม. แรกมักจะมีเคมเปญดูแลค่าแรงให้ฟรี เสียแค่ค่าอะไหล่เท่านั้น บางยี่ห้อให้มา 5 ปีกันเลย ไม่ควรเสียโอกาสอย่างยิ่ง ควรเข้าไปเช็คและเปลี่ยนตามระยะจะคุ้มค่ากว่า อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายหนักกว่าเดิม ทำให้ต้องเสียเงินมากขึ้นด้วย

6. ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง คือค่าใช้จ่ายที่คุณต้องจ่ายบ่อยที่สุดและมากที่สุด ขึ้นอยู่กับการใช้งานและอัตราสิ้นเปลืองของรถยนต์แต่ละรุ่น รวมถึงพฤติกรรมการขับไปจนถึงสภาพรถ ล้วนมีส่วนทำให้ค่าน้ำมันของคุณมากหรือน้อย ซึ่งคุณสามารถคำนวนค่าน้ำมันได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ เริ่มต้นด้วยการหาค่าอัตราสิ้นเปลืองสิ้นเปลืองเฉลี่ยว่าวิ่งได้กี่ (กม./ลิตร) จากนั้นค่อยคิดว่าตกกิโลเมตรละกี่บาท (กม./บาท) ใน 1 วันเราใช้รถประมาณกี่กิโลเมตรก็คูณเข้าไปจะได้ ค่าน้ำมันต่อ 1 วัน (บาท/วัน) แล้วนำไป คูณจำนวนวันในแต่ละเดือน และจบด้วยการคูณ 12 เดือน ได้ออกมาเป็นค่าน้ำมันที่ต้องเติมใน 1 ปี
ขอขอบคุณ อ้างอิงจาก www.roojai.com