
ความเข้าใจผิดของผู้ใช้รถมีให้เห็นเป็นประจำและต่อเนื่อง สำหรับคนที่พอรู้เรื่องรถบ้าง อาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก เรื่องแค่นี้ทำไมไม่รู้ แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ ก็คือไม่รู้จริงๆ บางเรื่องนั้น ทีมงานนำมาเสนอ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องพื้นๆ ไปแล้ว แต่อย่าลืมนะครับว่า คนใช้รถมือใหม่นั้น เกิดขึ้นทุกวัน และแน่นอนว่าไม่มีใครรู้เรื่องการดูแลรักษามาแต่กำเนิด ดังนั้นเรื่องการดูแลรักษาจึงเป็นเรื่องที่คุยกันไม่รู้จบ ล่าสุดนี้มีเพื่อนๆ ขึ้นไปรับลมหนาวที่เพชรบูรณ์ ปรากฏว่าขากลับต้องนำรถขึ้นทเรเลอร์กลับเข้ากรุงเทพ ฯ เนื่องจากเครื่องโอเวอร์ฮีทระหว่างทาง และมีคำถามตามมาว่า “อากาศก็หนาว แต่ทำไมเครื่องยนต์ถึงฮีทได้ ?”
ไม่ว่าฝนจะตก หมอกจะลง หรืออากาศจะร้อน เครื่องยนต์เวลาทำงานจะเกิดความร้อนจากการเผาไหม้ เพราะพลังงานที่เครื่องยนต์ผลิตได้ เป็นพลังงานความร้อนล้วนๆ แต่พลังงานความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานกล เพราะการเผาไหม้เกิดในที่จำกัด เมื่อเกิดแรงดันจากความร้อนมันจะไปดันให้ลูกสูบเคลื่อนที่ เมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ก็จะเกิดการเปลี่ยนพลังงานจากความร้อนเป็นพลังงานกล ซึ่งพลังงานกลที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของลูกสูบก็จะถ่ายถอดไปยังก้านสูบ, เพลาข้อเหวี่ยง, ฟลายวีล, ชุดคลัทช์, ระบบเกียร์, เพลาขับ และสุดท้ายจะถูกส่งไปยังล้ออีกครั้ง การเผาไหม้ที่เกิดขึ้นเป็นพลังงานที่เกิดจากความร้อน ซึ่งความร้อนส่วนหนึ่งจะแผ่ออกไปยังชิ้นส่วนต่างๆ รอบๆ กระบอกสูบ ความร้อนที่ถูกแผ่มายังชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝาสูบ หรือเสื้อสูบนั้น จะทำให้ชิ้นส่วนมีความร้อนสะสม ถ้าไม่ได้ควบคุมอุณหภูมิก็จะทำให้ความร้อนสะสมสูง และเกิดความเสียหาย การที่จะควบคุมอุณหภูมิของชิ้นส่วนได้นั้น จำเป็นต้องมีระบบระบายความร้อน เพื่อรักษาอุณหภูมิของชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ ให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม
ระบบระบายความร้อนที่มีในเครื่องยนต์มีจุดมุ่งหมายเพื่อ “ควบคุมและรักษาอุณหภูมิของเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม” เพราะเครื่องยนต์ถ้าร้อนหรือเย็นเกินไป ก็ไม่ดี เราสามารถแบ่งระบบระบายความร้อนได้เป็น 2 แบบ คือ ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ปัจจุบันเราจะเห็นได้ในรถ โพร์เช และโฟล์คสวาเกน รุ่นเก่าๆ เครื่องยนต์จะวางอยู่ในฝากระโปรงท้าย สาเหตุที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแต่เดิม เพราะต้องการลดต้นทุนให้ต่ำที่สุด และสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ไม่สูงนัก การใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศก็ถือว่าเพียงพอ แต่ใน โพร์เช เป็นเพราะตนเองเป็นผู้นำเรื่องระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ จึงอยากที่จะรักษาจุดเด่นที่แตกต่างไว้ แบบที่ 2 คือ ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ระบบนี้มีใช้อยู่ทั่วไป เนื่องจากสามารถควบคุมความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าแบบแรก และเหมาะกับสภาพภูมิอากาศทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเมืองร้อน หรือเมืองหนาว ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ จะรักษาอุณหภูมิของเครื่องยนต์ให้คงที่ได้มากกว่า

ในระบบระบายความร้อนด้วยน้ำประกอบไปด้วยอุปกรณ์สำคัญๆ ดังนี้ เริ่มจาก หม้อน้ำมีหน้าที่ถ่ายเทความร้อน เพื่อลดอุณหภูมิของน้ำร้อนที่มาจากเครื่องยนต์ โดยตัวมันจะประกอบไปด้วยท่อเล็กๆ และครีบจำนวนมากสำหรับการถ่ายเทความร้อนปั๊มน้ำ มีหน้าที่ในการหมุนเวียนน้ำในระบบหล่อเย็นมายังหม้อน้ำเพื่อลดอุณหภูมิหลักการระบายความร้อนด้วยน้ำในเครื่องยนต์ จะอาศัยหลักการถ่ายเทความร้อน เพราะการถ่ายเทความร้อนนั้น วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงจะถ่ายเทความร้อนไปยังวัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าเสมอ เพื่อควบคุมอุณหภูมิของเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพ หลักการนี้จึงถูกนำมาใช้ในการระบายความร้อน น้ำร้อนเมื่อผ่านการลดอุณหภูมิที่หม้อน้ำก็จะถูกปั๊มน้ำหมุนเวียนกลับเข้าไปในเครื่องยนต์ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาที่เครื่องยนต์ทำงาน และยังมีอุปกรณ์อีกตัวหนึ่งในระบบระบายความร้อนที่มีส่วนสำคัญมาก เราเรียกกันติดปากว่า วาล์วน้ำ หรือเธอร์โมสตัท หน้าที่ของมันก็คือ คอยปิด/เปิดการไหลเวียนของน้ำในระบบระบายความร้อน ในอุณหภูมิต่ำมันจะปิดไม่ให้มีการไหลเวียนของน้ำ เพื่อช่วยในการวอร์มเครื่องยนต์ให้ถึงอุณหภูมิในการใช้งานให้เร็วยิ่งขึ้น เมื่อถึงอุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์ วาล์วน้ำก็จะเปิดเพื่อให้น้ำหล่อเย็นเกิดการหมุนเวียน ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำนี้จึงสามารถควบคุณอุณหภูมิได้ดีกว่าระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ แม้ว่าจะใช้ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์ หรือในพื้นที่ร้อนจัดอย่างทะเลทราย
แต่มีข้อเสีย คือ เรื่องของอุปกรณ์ชิ้นส่วนที่มีค่อนข้างมากนั่นเอง ทำให้เครื่องยนต์มักเกิดปัญหาเรื่องของความร้อน สำหรับรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 4-5 ปีขึ้นไป ปัญหาเรื่องของเครื่องยนต์โอเวอร์ฮีท จึงเป็นเรื่องที่เราได้ยินกันบ่อย ความร้อนที่เกิดขึ้นมักจะมาจากอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนอื่นๆ ในระบบ มากกว่าตัวเครื่องยนต์เอง ปัญหาแรกที่พบบ่อยมาก คือ ท่อยางหม้อน้ำเสื่อมสภาพ ปริแตก หรือรั่วซึม ท่อยางจะเริ่มเสื่อม เนื่องจากความร้อน จะสังเกตได้จากร่องรอยการแตกร้าว หรือที่เราเรียกกันว่า แตกลายงา ถ้าพบว่าท่อยางมีลักษณะเช่นนี้ บวกกับอาการบวมเสียรูป ควรจะรีบเปลี่ยนโดยไว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาท่อยางแตกระหว่างการเดินทาง ชิ้นต่อมาที่พบบ่อย แต่มักจะเป็นรถที่มีอายุมากกว่า 5-6 ปีขึ้นไป คือ หม้อน้ำรั่ว เพราะหม้อน้ำรุ่นใหม่ คอจะเป็นพลาสติค เมื่อเสื่อมสภาพจะรั่วซึมได้ง่าย แต่สามารถตรวจดูว่ามีการรั่วซึมที่ใดบ้าง เพราะในน้ำยาหล่อเย็นนั้น จะมีการใส่สารเรืองแสงเอาไว้ ถ้าเกิดการรั่วซึมจะพบเห็นได้ง่าย เมื่อพบเห็นร่องรอยของการรั่วซึม ให้รีบน้ำรถเข้าตรวจเชคโดยเร็ว หรือสังเกตได้จากบริมาณน้ำที่ถังพัก หรือในหม้อน้ำหายไป ต้องคอยเติมกันบ่อยๆ
ในตอนที่แล้ว เราได้พูดถึง สาเหตุของการโอเวอร์ฮีทนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอากาศแต่อยางใด มันขึ้นอยู่กับ การควบคุมและรักษาอุณหภูมิของเครื่องยนต์ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และต้องอาศัยระบบระบายความร้อน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ เหมาะกับรถยนต์ที่สมรรถนะของเครื่องยนต์ไม่ได้สูงนัก และ ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กับอยู่ทั่วไป เนื่องจากสามารถควบคุมความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าแบบแรก และเหมาะกับสภาพภูมิอากาศทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเมืองร้อน หรือเมืองหนาว ในระบบระบายความร้อนด้วยน้ำประกอบไปด้วยอุปกรณ์สำคัญๆ คือ หม้อน้ำ วาล์วน้ำ

อุปกรณ์ชิ้นต่อมา คือ ฝาหม้อน้ำที่คนส่วนใหญ่มักละเลย เวลาเปิดตรวจเชคระดับน้ำ ไม่ค่อยดูกันหรอกว่าสภาพฝาหม้อน้ำเป็นอย่างไร ? เมื่อเปิดแล้วก็ตรวจเชคสักหน่อยว่า สภาพเป็นอย่างไร ซีลยางยังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ เพราะถ้ามีการฉีกขาดเกิดขึ้นก็จะทำให้เกิดการรั่วของน้ำในระบบเมื่อมีแรงดันสูง เมื่อเปิดแล้วก็ดูในหม้อน้ำเลยด้วยว่ามีสภาพเป็นเช่นไร ถ้าพบว่ามีคราบสนิมเกาะอยู่ภายในค่อนข้างมาก ก็ถือโอกาสล้างและเปลี่ยนน้ำหล่อเย็นด้วย ชิ้นต่อมาที่มีปัญหา แต่คนไม่ค่อยรู้ว่ามันเสื่อมแล้ว นั่นก็คือ ปั๊มน้ำ ที่มีหน้าที่หมุนเวียนน้ำในระบบ เราสามารถดูได้จากร่องรอยของการรั่วซึมที่บริเวณเสื้อสูบ ถ้าเห็นว่ามีคราบสนิม หรือคราบของสารรั่วออกมา ก็แสดงว่าปั๊มน้ำใกล้จะหมดอายุการใช้งาน โดยดูได้จากปริมาณของน้ำที่หายไปจากระบบ
แต่ตัวที่ทำให้รถเกิดปัญหาที่เพชรบูรณ์ มาจากวาล์วน้ำเสื่อมสภาพ วาล์วน้ำมีหน้าที่เหมือนเขื่อนที่จะคอยปิด หรือเปิดให้น้ำในระบบเกิดการหมุนเวียน ซึ่งการปิดหรือเปิดนั้นจะอาศัยความร้อนของเครื่องยนต์เป็นตัวกำหนด ในวาล์วน้ำจะมีกลไกควบคุมการทำงานอยู่ เมื่อถึงอุณหภูมิใช้งานที่กำหนดไว้ เช่น 78 หรือ 85 องศาเซลเซียส วาล์วน้ำจะเปิดให้น้ำเกิดการหมุนเวียน
ข้อดีของการใช้วาล์วน้ำ มี 2 ประการ คือ ช่วยให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิใช้งานเร็วขึ้น เพราะเครื่องยนต์ประกอบด้วยโลหะหลายชนิด เมื่อถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม เครื่องยนต์จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไป จะทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าปกติ ข้อดีอย่างที่ 2 คือ ช่วยควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ โดยเฉพาะเมืองหนาวจะเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่ออุณหภูมิเครื่องยนต์เริ่มต่ำ วาล์วน้ำก็จะปิดเพื่อเร่งให้เครื่องยนต์ร้อนขึ้นตามอุณหภูมิที่เหมาะสม ส่วนเมืองร้อนอย่างบ้านเรานั้น เจ้าวาล์วน้ำทำหน้าที่อย่างเดียว คือ ช่วยอุ่นให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิใช้งานเร็วขึ้น กรณีที่วาล์วน้ำเสื่อมสภาพ หรือเกิดสนิมเกาะจนเปิดได้ไม่สุด หรือไม่เปิดนั้น จะทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัดจนโอเวอร์ฮีท ซึ่งกรณีนี้แม้คุณใช้งานในพื้นที่ๆ มีหิมะตก เครื่องก็ยังจะโอเวอร์ฮีท อยู่ดี
แล้วจะทราบได้อย่างไร ? ว่าวาล์วน้ำเสื่อมสภาพ หรือที่เรียกว่า วาล์วน้ำตาย สามารถตรวจเชคได้ไม่ยาก ถ้าเข็มความร้อนขึ้นสูงให้ดับเครื่อง แล้วเปิดฝากระโปรงขึ้น ลองเอามืออังที่เครื่องยนต์ดู ถ้ารู้สึกร้อน แสดงว่ามาตรวัดอุณหภูมิทำงานปกติ จากนั้นให้ลองเอาหลังมือแตะท่อน้ำตัวล่างที่เป็นท่อยาง ถ้ารู้สึกว่าร้อนน้อยมากก็ค่อยขยับมาลองแตะท่อยางด้านบน กรณีที่ท่อยางไม่ร้อนมากจนใช้มือจับได้สบาย แสดงว่าวาล์วน้ำตายชัวร์ๆ แต่เวลาแตะ ต้องระวังเป็นพิเศษ จังหวะแรกๆ ควรเอามืออังไว้ก่อน และที่ให้ใช้หลังมือก็เพราะว่า ธรรมชาติคนเราเวลาตกใจมือจะกำเข้าหากัน ถ้าคว่ำมือไปจับอาจจะตกใจกลายเป็นกำท่อร้อนโดยไม่รู้ตัว
การแก้ไขเบื้องต้น คือ รอให้เครื่องเย็นแล้วสามารถถอดวาล์วน้ำออกชั่วคราวได้ แต่ต้องมีปะเก็นวาล์วน้ำเปลี่ยน ซึ่งหาไม่ยาก ตามร้านอะไหล่ต่างจังหวัดมีเยอะ แต่วาล์วน้ำอาจจะไม่มีทุกรุ่น ถ้าเครื่องยนต์นอคจนดับไปเลย เมื่อลองสตาร์ทใหม่ต้องดูว่าเครื่องยนต์ทำงานปกติหรือไม่ อย่างรถของเพื่อนเราปล่อยจนนอค ผลที่ตามมา คือ ชาฟท์ละลาย ต้องยกกลับสถานเดียว อาการวาล์วน้ำตายนี้มักจะไม่มีอาการบอกเหตุ ถ้าเสียก็เสียเลย หรือโชคดีหน่อยก็วาล์วเปิดไม่สุดยังพอประคองไปเข้าอู่ได้
กรณีเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนปั๊มน้ำเมื่อไร ควรจะเพิ่มเงินอีกนิดเปลี่ยนวาล์วน้ำไปพร้อมๆ กันเลย เพราะราคาไม่แพง จะได้เสียค่าแรงทีเดียว และตัดปัญหาเรื่องจุกจิกภายหลังได้ชะงักนัก เพราะอายุการใช้งานของวาล์วน้ำกับปั๊มน้ำนั้นมักจะใกล้เคียงกันมากๆ ครับ นอกจากนั้นยังมีอีกหลายๆ อย่างที่ทำให้ระบบระบายความร้อนมีปัญหาได้ เช่น สายพานต้องตรวจสอบว่าหย่อนหรือตึงเกินไปหรือไม่ สภาพของสายพานเป็นอย่างไร เริ่มมีการเปื่อยยุ่ย หรือแตกลายงาแล้วหรือยัง ถ้าเริ่มแตกลายงา แล้วสภาพไม่สู้ดี ควรจะเปลี่ยน เมื่ออากาศร้อนมากๆ โอกาสที่สายพานจะไหม้ หรือเสียหายเป็นไปได้มาก ถ้าสภาพไม่สู้ดีอยู่แล้ว เพราะสายพานจะเป็นตัวถ่ายทอดกำลังจากเพลาข้อเหวี่ยงมาขับเคลื่อนปั๊มน้ำ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียน ถ้าสายพานหย่อน หรือตึงเกินไป ก็อาจทำให้การทำงานของปั๊มน้ำผิดพลาด รวมถึงกรณีที่สายพานหมดอายุ เปื่อย, แตกลายงา หรือหน้าสัมผัสไหม้ด้วยนะครับ
อีกจุดที่ต้องดูแล คือ เรื่องของพัดลมระบายความร้อน เมื่อพัดลมเสื่อมสภาพก็จะทำให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนลดลง ที่เห็นได้ชัดเจน คือ ช่วงที่รถวิ่งด้วยความเร็วต่ำ หรือขณะจอดแล้วความร้อนขึ้นสูงกว่าปกติ เมื่อวิ่งเร็วขึ้นความร้อนถึงจะลดลง กรณีนี้แสดงว่าพัดลมที่ใช้ในการระบายความร้อนมีปัญหา สำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้าที่ใช้พัดลมไฟฟ้าก็แสดงว่าแปรงถ่านอาจจะใกล้หมด หรือไม่ก็มาจากส่วนประกอบอื่นๆ เช่น รีเลย์เสื่อม สายไฟรั่ว หรือลัดวงจร ส่วนรถขับเคลื่อนล้อหลัง หรือ 4 ล้อ ที่ใช้พัดลมเครื่องระบายความร้อน อาจจะเกิดจาก FREE BLADE เสื่อมสภาพ ซิลิโคนที่อยู่ในระบบเสื่อม ทำให้พัดลมหมุนช้าลง ผลที่ตามมาก็คือ ในขณะที่จอดอยู่กับที่ หรือวิ่งความเร็วต่ำ ความร้อนจะสูง เพราะพัดลมหมุนช้าลง กรณีนี้ควรจะถอดออกมาเติมซิลิโคน ในรุ่นที่สามารถเติมได้ หรือเปลี่ยนใหม่ในรุ่นที่เปลี่ยนไม่ได้
ปัญหาเรื่องความร้อนของเครื่องยนต์นั้น ไม่ได้จำเป็นว่าต้องหน้าร้อนเท่านั้นจึงจะต้องระวังเป็นพิเศษกับเรื่องโอเวอร์ฮีท ซึ่งอาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นหน้าฝน หรือหน้าหนาว เพียงแต่คุณต้องหมั่นที่จะดูแลสภาพรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ และเพิ่มความสังเกตเกี่ยวกับความผิดปกติของการทำงานระบบต่างๆ โดยเฉพาะรถที่มีอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป ต้องหมั่นดูมาตรวัดความร้อนให้เป็นนิสัย เพราะมันสามารถช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
เครดิต www.actiongatortire.com ,www. mbworld.org/